รวมบทความ เกี่ยวกับ ความรู้เรื่องก่อสร้างที่ผมเขียนเอง หวังว่าคนอ่านจะได้ประโยชน์กับมันบ้าง ลองอ่านดูครับ
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552
การประมาณราคา ค่าก่อสร้าง ภาค Q.S.
เจ้าของงานอาจเป็นกังวล ในแง่ของงบประมาณ ที่ต้องใช้จ่าย หรือการลงทุน
ผู้รับเหมา อาจกังวลในแง่ของ ต้นทุนในการก่อสร้าง และกำไร-ขาดทุน
ผู้ออกแบบ อาจกังวลใน เรื่องความเป็นไปได้ของโครงการว่า จะได้เกิด หรือไม่ โดนตัดทอนอย่างไร
สิ่งที่สามารถ ตอบกับทุกฝ่ายได้อย่างดีที่สุด คือ การประมาณราคา ครับ
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการประมาณราคา มันก็คือราคาที่ประมาณขึ้นมา โดยคร่าวๆ ไม่ได้เป็นราคาที่ถูกต้อง 100% มันต้องมีผิดพลาดบ้าง แต่การประมาณราคานั้นถ้าทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ก็จะมีความแม่นยำมาก เดี๋ยวผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง
สมัยก่อนอาจารย์ สอนวิชาประมาณราคาของผมบอกว่า "การประมาณราคา ทำสิบคนก็ไม่มีทางได้ราคาเท่ากัน แม้แต่ตัวเองทำเองแต่ทำคนละที ก็ยังไม่เ่ท่ากันเลย" ดังนั้น การประมาณราคา จึงไม่ตัวเลขที่ถูกต้องอย่างเป๊ะๆ พอผมมาทำงานมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับสำหรับประเทศไทย เพราะมีหลายมาตาฐาน หลายอาจารย์ เหลือเกิน เลยทำให้แต่ละคนมีวิธีประมาณราคาไม่เหมือนกัน แต่คำพูดนี้มันไม่แน่เสมอไปนะครับ เพราะที่จริงแล้ว การประมาณราคาก็มี วิธีมาตราฐานของมันอยู่ เช่นในประเทศอังกฤษ มีมาตราฐานการประมาณราคาที่ค่อนข้าง สมบูรณ์แบบ และจำเป็นต้องมีนักประมาณราคาที่มีใบอนุญาติ มาทำงานในเกือบทุกโครงการ เรียกว่าการทำ Q.S. หรือ Quantity Survey (ภาษาไทยเรียกว่า "สำรวจปริมาณ") โดยมี Surveyor เป็นคนที่จำเป็นต้องมีส่วนร่วม (มีเอี่ยว)ในเกือบทุกโครงการก่อสร้าง เหมือนกับ โครงการจำเป็นต้องมี วิศวกร กับสถาปนิก เลยทีเดียว
การทำระบบ Q.S. ในประเทศไทย ก็มีมานาน แต่อาจเป็นการใช้ ระบบนี้ในวงจำกัด เท่าที่ผมทราบมี ฝรั่งอาวุโสชาวอังกฤษ ท่านนึงชื่อ Mr. Blaise McConnell เป็น Q.S. มืออาชีพชาวอังกฤษ ได้เข้ามาเปิดบริษัทในประเทศไทยได้ กว่า 30 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นคนแรกๆที่นำระบบนี้เข้ามาใช้กับโครงการก่อสร้างในประเทศไทย และท่านก็เป็นที่ยอมรับ และรู้จักของเกือบทุกคนที่ทำงานด้าน Q.S. ในประเทศไทย (ปัจจุบันท่านเสียชีวิต แล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์ เมื่อหลายปีก่อน) ผมมีโอกาสได้เป็นลูกน้องของ Mr. Blase มาประมาณ 4-5 ปี อยู่ในตำแหน่ง Q.S. ได้เรียนรู้ระบบ Q.S. นี้มาพอสมควร โดยที่ไม่ได้ไปเรียนที่ ประเทศอังกฤษ แต่ได้มีโอกาสที่เรียนจากการทำงานจริงจากคนที่ ฝรั่งด้วยกันยังยอมรับว่าเป็น "เดอะคิง" ผมเลยพอที่จะโม้ให้ฟังเรื่องประมาณราคาได้ครับ
ต่อมาภายหลังในประเทศไทย ก็เริ่มมี นักประมาณราคาในสายประเมินทรัพย์สิน เช่นนักประเมินทรัพย์สินของธนาคาร รวมกลุ่มกันเปิดสมาคม และพยายามที่จะสร้างมาตราฐานในการประมาณราคาขึ้นมาเหมือนกัน เปิดโรงเรียนสอน แต่จริงๆ แล้วก็ยังห่างไกลกับระบบ Q.S. ที่ว่าพอสมควร (อันนี้ฝรั่งที่เป็น Q.S. เป็นคนบอกนะ ไม่ใช่ผมพูดเอง) ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ ถ้าสมาคมนี้สามารถพลักดันให้ เกิดกฏหมายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการประมาณราคาได้ ประเทศไทยจะได้มีมาตราฐาน เรื่องราคาค่าก่อสร้างจริงๆสักที
ดูความหมายของ Quantity surveyor จาก Wikipedia ได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Quantity_surveyor
เรื่องยังมีต่อนะ
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วิธีการเลือกแบบบ้าน
แบบบ้านที่อยู่ในเนท มีมากมายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเว็ปนอก เว็บไทย เพียงแค่ พิมพ์คำว่า home plan, home design ใน google ก็จะมีเว็บให้เลือกดูจนตาลายเลยครับ แต่การที่จะหาแบบที่ถูกใจ หรือสงสัยว่าแบบนี้เหมาะสมกับเราหรือเปล่าคงต้องดูในรายละเอียดกันหน่อยครับ

- แบบนี้ลงกับที่ดินเราได้หรือเปล่า คือผมอยากให้ข้อควรจำเกี่ยวกับ พรบ.ควบคุมอาคารไว้หน่อยว่า ระยะร่นของอาคาร ถึงเขตแนวที่ดินควรต้องมีพื้นที่ อย่างน้อย 2.00 เมตรครับถึงจะไม่ผิดกฏหมาย อันที่จริงแล้ว กฏหมายยังมีข้อกำหนดย่อยๆ อีกเยอะ แต่เอาไว้ดูแค่ข้อเดียวก่อนครับว่า 2.oo เมตรรอบตัวต้องเว้นว่างไว้ ดังนั้นเราต้องดูความกว้างยาวของตัวบ้านที่เราเลือกทั้ง 2 ด้านครับ ว่ามีความยาวเท่าไร แล้วบวกไป 4.00 เมตร(ข้างละ 2.00เมตร สองด้าน) แล้วเอาไปเทียบกับ ขนาดที่ดินเรา ว่าความกว้างยาวมนลงได้หรือเปล่า ถ้าลงไม่ได้ก็ต้องปรับแก้ หรือไม่ก็มองหาแบบอื่น
- ฟังชั่นการใช้งาน อันนี้คงไม่ต้องบอกครับว่า คงเป็นเรื่องแรกๆที่หลายๆท่านดูอยู่แล้ว ว่ามีห้อง มีพื้นที่ของบ้านตามที่เราต้องการหรือเปล่า มีห้องนอนกี่ห้อง, มีห้องครัวอยู่ตรงไหน, ห้องกินข้าวใหญ่พอรึเปล่า, ห้องน้ำพอรึเปล่า, ห้องพระมีมั๊ย
- ทิศทางลม และแดด ของบ้าน อันนี้ยากหน่อยครับที่จะหาแบบได้เหมาะสมกับที่ดินของเรา และค่อนข้างยากที่จะใช้วิธีหาแบบบ้านในอินเตอร์เน็ท แล้วจะเจอแบบบ้านที่เหมาสมกับทิศของที่ดินเรา แม้แต่การออกแบบ
บ้านใหม่ ก็ต้องอาศัยสถาปนิกที่มีประสบการณ์ระดับนึงในการออกแบบบ้านครับ เอาเป็นว่าผมจะอธิบายเป็นแนวทางไว้ละกันครับว่า ทิศทางของบ้านที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร เราควรเลือกแบบบ้านที่เหมาะสมกับที่ดินได้ยังไง อันดับแรกเราควรดูทิศของที่ดินเราก่อนครับว่า ทิศของที่ดินเราหันหน้าไปทางทิศไหน แล้วจำเอาไว้ว่า แดดมันขึ้นทางตะวันออก อ้อมทิศใต้และไปตกทางทิศตะวันตก และลมฤดูร้อนมักจะพัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ พัดขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นทิศทางของบ้านที่ดี ทิศของบ้านต้องหันให้เหมาะกับทิศของที่ดินครับ เช่น ด้านทิศตะวันตกของบ้านจะเป็นทิศที่แดดร้อนมาก แดดส่องตลอดเวลา ควรเป็น ห้องที่ไม่ได้ใช้สอยหรือไม่ได้อยู่ตรงนั้นประจำ เช่น ห้องเก็บของ, ห้องแต่งตัว, ห้องน้ำ และห้องที่ใช้บ่อยๆ เช่น ห้องโถง, ห้องรับแขก, ห้องนอน ควรต้องอยู่ในทิศที่รับลม และมีช่องทางที่จะมีลมพัดเข้าและพัดออกได้อย่างเหมาะสมตามทิศทางของลม และต้องอย่าลืมครับว่า ลมจะพัดเข้ามาได้ ต้องมีทางออกของลมนะครับ ไม่ใช่่ามีช่องหน้าต่างไว้ทิศที่จะรับลม แล้วไม่มีทางออก อย่างนี้เปิดช่องไปให้ตายลมก็ไม่พัดเข้ามาครับ - ฮวงจุ๊ย เรื่องฮวงจุ๊ยเป็นศาตร์เลยครับ มีหลายตำรามาก เข้าใจยากพอสมควร แต่ถ้าศึกษาดีๆ ฮวงจุ๊ยก็มีประโยชน์ ในการอยู่อาศัยมากครับ ลองศึกษาเรื่องฮวงจุ๊ยดูในรายละเอียดก็จะรู้ว่า ฮวงจุ๊ยไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของบ้านจะให้ความสำคัญกับฮวงจุ๊ยขนาดไหน และจะนำมาใช้รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ถูกต้อง และมั่นใจ คงต้องอาศัยผู้ชำนาญ หรือหมอดูฮวงจุ๊ย มาดูให้ครับถึงจะแน่นอน ในที่นี้ผมจะบอกคำแนะนำบางข้อ ของการเลือกแบบบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ๊ยไว้
- นอนขวางบ้าน จะทำให้ครอบครัวและบ้านมีความสุขปลอดภัย
- ห้องพระควรอยู่หน้าบ้าน หันหัวไปทางทิศตะวันออก เพื่อความเป็นมงคล
- ชักโครกวางขวางบ้านทำให้มีแต่เรื่องดีๆโดยเฉพาะห้องส้วมชั้นล่าง
- บันไดขึ้นจากหลังมาหน้าทำให้เงินทองไม่รั้วไหล
- พื้นที่ห้องครัวต่ำกว่าตัวบ้านทำให้มีกินมีใช้
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ทำไมต้องเป็นเสาเข็มเจาะ
บทความนี้เป็นบทความที่ผมคัดลอกมาจากบทความที่ผมเขียนในเว็บของบริษัท ที่
http://borepile.com/
เ็ห็นว่าเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เลยหวังว่าคงเป็นประโยชน์ กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ
คำถามที่ถามกันบ่อยๆว่า เสาเข็มเจาะมันเป็นยังไง และทำไมตองเป็นเสาเข็มเจาะ ถามกันเข้ามาบ่อยมาก จนผมแทบอยากจะตั้งระบบตอบรับแบบออโต้ให้คนที่โทรเข้ามาถามได้เข้าใจกัน
ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะ เบื่อหรือไม่อยากตอบนะครับ แต่อาจเป็นเพราะ ผมไไม่แน่ใจว่าการตอบของผมสามารถอธิบายได้ดีทุกครั้งเท่าการเขียน หรือเปล่าเท่านั้น แถมยังรู้สึกดีใจอีกต่างหากที่ มีคนสนใจที่จะทำเข็มเจาะ แล้วถามเข้ามาที่เรา
ผมจะลองเรียบเรียงคำตอบดูนะครับ
ถาม.. เสาเข็มเจาะคืออะไร?
ตอบ..เสาเข็มเจาะเป็นเสาเข็มชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เหมือนเสาเข็มที่พบกันโดยทั่วไป แบบที่ใช้ปั้นจั่นตอกนั่นแหละครับ แต่ลักษณะการทำงานจะไม่เหมือนกัน แสาเข็มเจาะจะไม่ใช้การตอกเข็มลงไปในดินโดยตรง แต่จะใช้การ ตอกปลอกเหล็ก ที่ป็นแบบหล่อคอนกรีตลงไปในดิน แล้วใส่เหล็กเทคอนกรีตลงไปในหลุม แทน
ถาม..แล้วทำไมต้องเป็นเสาเข็มเจาะด้วย
ตอบ..เสาเข็มเจาะมีข้อดี และข้อเสียกว่าเสาเข็มตอกที่ไม่เหมือนกันคือ เสาเข็มเจาะสามารถทำงานในที่คับแคบได้ ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน ไม่ส่งผลกระทบกับโครงสร้างหรืออาคารข้างเคียง เพราะแรงสั่นสะเทือนน้อย สามารถใช้กับงานต่อเติมได้ แต่ข้อเสียก็มีคือ ราคาค่าเสาเข็มเจาะจะแพงกว่า เสาเข็มตอก พอสมควร และจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพในการทำงานมากกว่าเสาเข็มตอกครับ
ถาม..แล้วบ้านผมควรจะเป็นเสาเข็มเจาะหรือตอกดี
ตอบ..ก็แล้วแต่สภาพหน้างานของบ้านคุณครับ เช่นว่าถ้าสถานที่ก่อสร้างคุณเป็นที่ดินเปล่าโล่งๆ ไม่มีสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงรอบด้าน ไม่กลัวว่าการตอกเข็มที่กระเทือนเหมือนแผ่นดินไหว จะไปทำให้อะไร รอบข้างพัง หรือแตกร้าว ก็เหมาะที่จะทำเสาเข็มตอก แต่ถ้าไม่ก็แนะนำเสาเข็มเจาะครับ
ถาม..แล้วเสาเข็มเจาะรับน้ำหนักได้เหมือนกันกับเสาเข็มตอกหรือเปล่า
ตอบ.. การรับน้ำหนักของเสาเข็มเจาะ สามารถรับน้ำหนักได้เหมือนกับเสาเข็มตอกทุกประการครับบางทีอาจจะมากกว่าเสา เข็มตอกด้วยซึ้าครับ เพียงแต่ว่าการรับน้ำหนักของเสาเข็ม จำเป็นจะต้องให้วิศวกรเป็นคนคำนวนหา น้ำหนักของอาคารที่จะถ่ายลงไปเสาเข็ม และวิศวกรจะเป็นคนเลือกชนิด หรือขนาดของเสาเข็มที่จะใช้ให้ครับ? แต่ถ้านำ เสาเข็มเจาะไปเทียบกับเสาเข็มตอกในเรื่องการรับน้ำหนัก ก็ต้องมาดูถึงคุณภาพของการทำเสาเข็มเจาะครับ เพราะเสาเข็มเจาะมีขั้นตอนยุ่งยากในการทำงานมากกว่า จำเป็นต้องควบคุมคุณภาพในการทำงานเกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั้นดิน, การใส่เหล็กเสริม, คุณภาพคอนกรีต, การถอดปลอกเหล็ก ฯลฯ ซึ่งถ้าผู้ทำงานไม่มีความชำนาญ หรือมีความรับผิดชอบไม่พอ ก็สามารถทำให้เสาเข็มเสียหายโดยเจ้าของงานไม่รู้ได้เหมือนกัน
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
การถมดิน ควรถมก่อนหรือหลังการก่อสร้างอาคาร
ต้องยังไงแน่ ผมขอตอบแบบของผมละกันครับ
การจะถมดิน ควรที่จะทำก่อนการปลูกบ้าน แน่นนอนครับ ครับเนื่องจากการ ถมดินหลังจากการปลูกบ้านสร็จแล้ว อาจมีปัญหานื่องจาก แรงดันดินที่ไปกระทบ กระเทือนต่อฐานราก หรือตัวอาคาร ทำให้ตัวอาคารมีแรงไปกระทำโดยไม่ตั้งใจได้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้
ส่วนการถมดินสำหรับก่อนการปลูกบ้านควรจะถมเมื่อไรนั้น
ถ้าถามผม ผมจะตอบว่า ควรถมดินตอนน้ำมันถูกครับ เพราะถ้าถมดินต้องอาศัยรถในการถมดิน ยิ่งน้ำมันถูกราคาถมดินก็จะถูกลงไป สามารถต่อรองราคาได้เยอะ แต่ถ้าน้ำมันแพงนะครับ สารพัดจะโก่งราคา
ส่วนบางคนที่บอกว่าควรถมดินก่อนการปลูกบ้านสัก 6 เดือน มีความจำเป็นไหม
ถ้าเป็นการถมดินเพื่อก่อสร้างในกรุงทพ ที่ตัวอาคารวางอยู่บนเสาเข็ม ก็อาจไม่มีความจำเป็นมากนัก เพราะตัวอาคารไม่ได้วางอยู่บนดิน อยู่บนฐานรากแผ่ แต่ตัวอาคารวางอยู่บนฐานรากที่เป็นเสาเข็ม
มีตัวอย่างเยอะแยะตามหมู่บ้านทั้งหลาย
ที่ถมดินสร็จก็สร้างเลย
แต่ยังไงก็ต้องยอมรับว่าหลังจากการถมดินเสร็จแล้วจะต้องมีการทรุดตัวบ้าง
แต่คงไม่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างหลักแน่นอน (สำหรับฐานรากวางบนเสาเข็ม)
อาจมีปัญหาเรื่องการทรุดตัวรอบๆบ้าน หรือการทรุดตัวบนพื้นที่เป็นพื้นออนกราวน์บ้างเท่านั้น
ดังนั้นสรุปว่ามีตังค์ก็ถมไปเถอะครับ
ยิ่งนานมันก็ยิ่งแน่นดี
ส่วนบ้านที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพเป็นฐานรากแบบแผ่
การถมดินก่อนนานๆ อาจเป็นประโยชน์กว่า เพราะฐานรากแผ่ที่ว่าอาจไปวางอยู่บนชั้นดินถมโดยไม่ตั้งใจครับ
ถึงแม้ว่าเป็นข้อห้ามที่สำคัญ ว่า ห้ามเอาฐานรากแผ่วางบนดินถมเด็ดขาด
แต่ก็อาจมีบ้างที่ช่างไม่รู้ เอาฐานรากไปวางไว้บนดินถม
แล้วดินถมยุบ ทำให้บ้านทรุดไปด้วย
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552
เล่าเรื่องพื้นๆ ตอนที่ 3 พื้นไร้คาน (Flat Slab)
1.3. พื้นไร้คาน (Flat Slab)
พื้นชนิดนี้ก็คือ พื้นคอนกรีตหล่อในที่เหมือนพื้นออนบีมนั่นเอง แต่เป็นการออกแบบคนละระบบกัน เพียงแต่ว่าพื้นไร้คานเป็นพื้นที่ทำการออกแบบโดยไม่ได้มีการถ่ายน้ำหนักไปยังคาน (ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าพื้นไร้คาน มันจะมีคานได้ไง 55)
ทีนี้หลายคนคงสงสัยว่า เอ๊ะ พื้นไร้คานแล้วมันจะอยู่ได้มั๊ย แข็งแรงมั๊ย ตอบคืออยู่ได้ครับ และพื้นแบบนี้อาคารขนาดใหญ่นิยมทำมากกว่าพื้นออนบีมซะด้วยซ้ำ คำถามต่อมาคือ
“อ้าวถ้างั้นบ้านทั่วๆไปทำไมถึงไม่นิยมใช้ล่ะ เห็นไปที่ไหนก็คานตรึม ถ้าไม่มีคานได้ แล้วจะสร้างคานไปทำไม”
ตอบคือ ผมว่ามันอยู่ที่ความคล่องตัวของผู้ออกแบบมากกว่าครับ เช่นอาคารขนาดเล็กพวกบ้าน, สำนักงาน ลักษณะรูปแบบการวางผังของอาคารจะไม่เป็นกริดๆเป็นตารางๆ การออกแบบพื้นให้เป็นระบบพื้นออนบีมจะสามารถทำการถ่ายน้ำหนักได้ง่ายกว่าและทำให้โครงสร้างโดยรวมประหยัดกว่า การออกแบบพื้นเป็นพื้นระบบไร้คานครับ
เพราะสมมุติฐานของการออกแบบพื้นไร้คานคือ “แผ่นพื้นที่เสริมเหล็กสองทางหรือมากกกว่า และถือเสมือนว่าเป็นแผ่นพื้นเดียวทำการถ่ายน้ำหนักไปยังหมวกหัวเสา หรือ แป้นหัวเสา และทำการถ่ายน้ำหนักไปยังเสาอีกที” ทำให้ความหนาของแผ่นพื้นไร้คานในบางช่วงต้องหนามาก และไหนยังเรื่อง ระบบการก่อสร้างที่ไม่ชำนาญ, การทำแป้นหัวเสา, การทำหมวกหัวเสา(ดูรูป)

ต่างกันกับการออกแบบโครงสร้างให้เป็นระบบเสา,คาน คือ พื้นบางช่วงจะเป็นพื้นทางเดียว, พื้นสองทาง, พื้นยื่น อาจเสริมเหล็กไม่เท่ากัน ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างถูกกว่า และผู้รับเหมาคนไทย, ช่างไทย ทำพื้นออนบีมชำนาญมาก (อาจตีลังกาทำได้) บางท่านอาจทำโดยไม่ต้องดูแบบแค่นึกภาพเอาก็ทำได้
แต่ข้อดีของพื้นไร้คานก็มีเหมือนกันครับ คือ อย่างแรกคือ เมื่อมันไม่มีคาน มันก็สามารถเพิ่มความสูงของระดับชั้นต่อชั้นได้(Floor to Floor height) (การออกแบบของอาคารเรื่องความสูงของพื้นถึงฝ้าบางโครงการมีความจำเป็นมาก เช่นพวกอาคารที่มีความต้องการจำนวนชั้นมากๆ แต่ถูกควบคุมโดยกฎหมาย ห้ามความสูงเกินเท่านั้นเท่านี้ ทำให้ระดับความสูงของชั้นแต่ละชั้นจำเป็นมาก) ที่เพิ่มได้ก็เพราะมันไม่มีคานนั่นเอง
อีกเรื่องคือลักษณะของอาคารที่เป็นกริดๆ ตารางๆ เท่ากัน ซ้ำๆกันหลายชั้น การออกแบบให้เป็นพื้นไร้คานอาจสามารถทำให้ลดต้นทุนในการก่อสร้างได้ อย่างน้อยคือเรื่องระยะเวลาการก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้รับเหมาหรือช่างที่ชำนาญ สามารถทำได้เร็วมาก ส่วนเรื่องปริมาณวัสดุเช่นจำนวนคอนกรีตกับเหล็กเสริม ผมว่าขึ้นอยู่กับการออกแบครับว่าจะเป็นยังไง ถ้าสำหรับตัวผมที่เคยทำ ผมว่ามันขึ้นอยู่กับลักษณะอาคารมากกว่า บางอาคารก็ประหยัดได้ บางอาคารก็ไม่ครับ